วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

第十七课:我肚子疼得厉害。 บทที่ 17: ฉันปวดท้องรุนแรงมาก

第十七课:我肚子疼得厉害。
บทที่ 17: ฉันปวดท้องรุนแรงมาก

บทสนทนาที่ 1

  • zhāng  lǎo shī nǐ  hǎo
    张   老  师, 你 好!
    wǒ jīn tiān  bù néng qù  shàng kè  le
    我  今 天  不  能  去  上  课 了。
    สวัสดีครับ อ. จาง วันนี้ผมไปเรียนไม่ไหวนะครับ
  • nǐ zěn me le
    你 怎  么  了?
    เป็นอะไรไปล่ะ
  • wǒ  gǎn mào  le
    我  感  冒  了。
    ผมเป็นหวัดครับ
  • nà nǐ hǎo hāo xiū  xi ba
    那 你 好  好  休  息 吧!
    ถ้างั้นคุณพักผ่อนมากๆ ก็แล้วกัน

บทสนทนาที่ 2

  • nǐ  nǎr bù shū fu
    你  哪儿 不  舒  服?
    คุณไม่สบายตรงไหนครับ/คะ
  • wǒ dù zi téng  de lì  hai  wǒ zǎo shang chī le sān gè
    我  肚 子 疼  得 厉 害。 我  早   上   吃 了 三  个
    píng guǒ bàn jīn pú tao hé hěn duō  bīng qí  lín
    苹  果、 半  斤 葡 萄  和  很  多  冰  淇 淋。
    ผมปวดท้องมากครับ เมื่อเช้าผมทานแอปเปิ้ลไป 3 ผล ทานองุ่นไปครึ่งชั่งแล้วก็ทานไอศกรีมไปเยอะพอสมควร
  • méi guān  xi chī liǎng tiān yào  jiù huì hǎo de
    没  关  系。吃  两  天  药  就 会  好  的。
    ไม่เป็นไร ทานยาสักสองวันก็หาย
  • hǎo  de  xiè xie
    好  的, 谢 谢。
    ครับ ขอบคุณครับ


คำอธิบายการใช้ภาษา

1. 能

"能"(néng) หมายถึง สามารถ แสดงถึงความสามารถหรือความเป็นไปได้ในการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (หากต้องการพูดถึงความสามารถในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ต้องอาศัยการเรียนรู้และการฝึกฝน จะต้องใช้คำว่า "会"(huì)) นอกจากนี้ยังหมายถึงการอนุญาตให้สามารถทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ "可以"(kě yǐ) และ "能" มีวิธีการใช้คล้ายกัน แต่ "能" จะเน้นไปที่ความสามารถในการทำเรื่องราวหรือกิจธุระ ส่วน "可以" จะเน้นไปที่ความสมัครใจในการกระทำเรื่องราวหรือกิจธุระ มีน้ำเสียงค่อนข้างประนีประนอมและอ้อมค้อม

2. คำซ้ำ

"好好"(hǎo hāo) เป็นตัวอย่างคำซ้ำในภาษาจีนกลาง การซ้ำคำคุณศัพท์เช่นนี้เป็นการเน้นย้ำความให้มีน้ำหนักมากขึ้น หากคำคุณศัพท์ที่ต้องการซ้ำเป็นคำสองพยางค์(AB) เวลาซ้ำคำจะต้องซ้ำด้วยรูปแบบ AABB เช่น "高兴"(gāo xìng) ซ้ำเป็น "高高兴兴"(gāo gāo xìng xìng)

3. หน่วยน้ำหนัก้

ในประเทศจีนมีระบบการชั่งน้ำหนักหลายแบบ ระบบที่ใช้ทั่วไปได้แก่ระบบซื่อจื้อของจีนและระบบเมตริก หน่วยน้ำหนักที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณคือ "两"(liǎnɡ, ตำลึง) และ "斤"(jīn, ชั่ง) 1 两" หนักประมาณ 50 กรัมหรือ 1.764 ออนซ์ 1 斤มี 10 两 1 斤หนักประมาณ 500 กรัมหรือ 1.1021 ปอนด์ หนักประมาณแอปเปิ้ลขนาดกลาง 3 ผล นอกจากระบบซื่อจื้อแล้ว ประเทศจีนยังใช้หน่วย "กิโลกรัม" ด้วย หน่วยน้ำหนักที่กล่าวมานี้ใช้ในการซื้อขายผัก ผลไม้และเนื้อ ในตลาดสดและร้านหาบเร่แผงลอยทั่วไปมักใช้หน่วยในระบบซื่อจื้อ ส่วนในซูเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่จะใช้หน่วยในระบบเมตริก ในชนบท ระบบซื่อจื้อจะใช้กันแพร่หลาย ส่วนในเมืองนั้นจะใช้ทั้งสองระบบ


เกร็ดวัฒนธรรม

การแพทย์และยาแผนจีน

การแพทย์แผนจีนหมายถึงการแพทย์แผนโบราณของจีนซึ่งสืบทอดนานหลายพันปีและได้หลอมรวมเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมของชนชาติจีน

การแพทย์แผนโบราณของจีนใช้หลักการหยินหยางและธาตุทั้งห้าเป็นทฤษฎีพื้นฐาน และใช้วิธีตรวจวินิจฉัยโรค 4 วิธี คือ "วั่ง" (การมอง) "เหวิน" (การฟังและสูดดม) "เวิ่น" (การถาม) และ "เชี่ย" (การจับแมะหรือการจับชีพจร) เมื่อวินิจฉัยโรคแล้วจึงดำเนินการรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสม การแพทย์แผนโบราณของจีนมีทฤษฎีเฉพาะศาสตร์ที่เป็นระบบ โดยมีความเชื่อพื้นฐานว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติซึ่งประกอบขึ้นจากธาตุหยินและหยาง ธาตุทั้งสองมีคุณสมบัติตรงข้ามกันแต่ต่างอยู่บนพื้นฐานของกันและกัน ดังนั้นหากสภาพความสมดุลของหยินและหยางถูกทำลาย ก็ย่อมทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้น นอกจากนี้ยังเชื่อว่าหลักการดำรงชีวิตและการเกิดโรคภัยต่างๆ มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ (เช่นสภาพอากาศในแต่ละฤดูกาล สภาพของพื้นที่ต่างๆ การผลัดเปลี่ยนของเวลากลางวันและกลางคืน เป็นต้น) ดังนั้นระดับการปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติของมนุษย์ในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่แตกต่างย่อมไม่เท่ากัน ทำให้สภาพร่างกายและภาวะการเกิดโรคต่างกันไปด้วย ด้วยเหตุนี้การวินิจฉัยโรคของการแพทย์แผนจีนจึงให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านเวลา สิ่งแวดล้อมและสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลมาก โดยจะไม่วินิจฉัยอย่างตายตัวจากอาการของโรคเพียงอย่างเดียว หลักการแพทย์แผนจีนถือว่าอวัยวะทุกส่วนในร่างกายรวมเป็นองค์เดียว ดังนั้นการวินิจฉัยและรักษาโรคจึงไม่ได้พิจารณาจากความผิดปกติของอวัยวะเฉพาะส่วนหรืออาการป่วยเพียงด้านเดียว แต่จะพิจารณาจากปัจจัยรอบด้านและให้ความสำคัญกับแนวคิดองค์รวมของร่างกายเป็นสำคัญ จากนั้นจึงเลือกใช้วิธีการรักษาหรือวิธีการป้องกันโรคที่เหมาะสม

วิธีการรักษาของการแพทย์แผนจีนมีหลากหลายวิธี โดยแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ การรักษาภายในด้วยการรับประทานยาและการรักษาภายนอกด้วยยาทา การนาบด้วยความร้อน การรม ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีวิธีการรักษาโดยไม่ใช้ยาแบบอื่น เช่น การฝังเข็ม การใช้กระปุกร้อนอังผิวหนัง การขูดผิวหนัง การนวดกดจุด การนวดและชี่กง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีวิธีการรักษาด้วยการรับประทานยาหรืออาหารบำรุงประเภทต่างๆ อีกด้วย

ปัจจุบันการแพทย์และยาแผนจีนได้รับการพัฒนาและแพร่หลายไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก ทั้งยังมีความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนด้านการแพทย์แผนจีนในระดับนานาชาติมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันนี้การแพทย์แผนจีนมีบทบาทมากขึ้นในวงการการแพทย์โลก และคาดการณ์ว่าการแพทย์แผนจีนจะสามารถประโยชน์อย่างกว้างขวางแก่การรักษาสุขภาพอนามัยของชาวโลกในอนาคต

การฝังเข็ม

การฝังเข็มเป็นวิธีการรักษาโรคที่มีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของจีน การรักษาแบบนี้เป็น "การรักษาโรคภายในจากภายนอก" ด้วยวิธีการเฉพาะ โดยรักษาผ่านเส้นทางหลักและแขนงของทางเดินเลือดลมและจุดลมปราณต่างๆ

ทฤษฎีพื้นฐานของวิชาการฝังเข็มก็คือทฤษฎีเส้นทางการไหลเวียนของเลือดลมภายในร่างกาย แพทย์แผนจีนเชื่อว่าเส้นทางการไหลเวียนของเลือดลมมีลักษณะเป็นทางหลักและแขนงย่อยที่โยงใยถึงกัน จึงสามารถเชื่อมโยงอวัยวะส่วนต่างๆ ให้รวมเป็นองค์เดียวอย่างเป็นระบบ การรักษาโดยวิธีการฝังเข็มโดยทั่วไปมักจะเลือกฝังเข็มบนจุดลมปราณที่อยู่บนเส้นทางการไหลเวียนของเลือดลม เพื่อไปกระตุ้นให้ภูมิต้านทานโรคภายในร่างกายของผู้ป่วยทำงานหรือเพื่อปรับสมดุลภายในร่างกาย ทำให้สามารถรักษาโรคได้ตามความมุ่งหมาย

การวินิจฉัยโรคแบบแพทย์แผนจีน จะต้องหาสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคเสียก่อน โดยการจำแนกลักษณะอาการของโรคเพื่อหาสาเหตุว่าอาการป่วยที่เกิดขึ้นมาจากความผิดปกติของเส้นทางการไหลเวียนของเลือดลมเส้นใดหรือมาจากอวัยวะภายในส่วนใด และต้องจำแนกว่าอาการดังกล่าวจัดเป็นอาการที่เกิดจากภายนอกหรือภายใน เกิดจากความหนาวหรือความร้อน หรือเกิดจากความแกร่งหรือความพร่อง เป็นต้น จากนั้นจึงค่อยรักษาด้วยการฝังเข็มตรงจุดลมปราณที่เหมาะสมตามอาการของโรค เพื่อให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีและเป็นการปรับสมดุลของหยินหยางและสมรรถภาพของอวัยวะภายในต่างๆ

วิชาการฝังเข็มเป็นศาสตร์ทางการแพทย์ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 2,000 ปี โดยตำราเล่มแรกของวิชานี้ชื่อว่า หวงตี้เน่ยจิง การรักษาด้วยวิธีการฝังเข็มมีจุดเด่นหลายประการได้แก่ วิธีการรักษาเรียบง่าย เห็นผลเร็ว ประหยัดและปลอดภัย ศาสตร์ทางการแพทย์แขนงนี้จึงเป็นที่แพร่หลายและสืบทอดต่อกันมาตลอดระยะเวลา 2,000 ปี และในช่วงหลายปีมานี้วิชาการฝังเข็มก็กลายเป็นวิชาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในระดับนานาชาติ ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยและการรักษาโรคด้วยการฝังเข็มในกว่า 140 ประเทศทั่วโลก