วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

第二课:请问您贵姓? บทที่ 2: ขอถามหน่อย คุณแซ่(นามสกุล)อะไร?

第二课:请问您贵姓?
บทที่ 2: ขอถามหน่อย คุณแซ่(นามสกุล)อะไร?


บทสนทนาที่ 1

  • xiè xie qǐng wèn nín guì xìng
    谢  谢! 请  问  您  贵  姓?
    ขอบคุณครับ คุณแซ่อะไรครับ
  • bú yòng xiè miǎn guì xìng zhānɡ 
    不 用  谢! 免  贵  姓  张。 
    jiào wǒ zhāng lǎo shī jiù kě yǐ  le 
    叫  我  张  老  师  就 可 以 了。
    ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องใช้คำว่า “贵姓”หรอก เรียกผมว่าอาจารย์จางก็พอ

บทสนทนาที่ 2

  • nǐ hǎo wǒ jiào gāo qiáng nǐ jiào shén me míng zi
    你 好! 我  叫  高  强,  你 叫  什  么  名  字?
    สวัสดีครับ ผมชื่อเกา เฉียง คุณชื่ออะไรครับ
  • nǐ hǎo wǒ jiào  dà chuān hěn gāo xìng rèn shi nǐ
    你 好! 我  叫  大  川。 很  高  兴  认  识 你。
    สวัสดีครับ ผมชื่อต้า ชวน ยินดีที่ได้รู้จักครับ
  • hěn gāo xìng  rèn shi nǐ
    很  高  兴  认  识 你。
    ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ

คำอธิบายการใช้ภาษา

1. 谢谢

เมื่อต้องการกล่าว "ขอบคุณ" โดยทั่วไปจะพูดว่า "谢谢!"(xiè xie) หรือ "谢谢你"(xiè xie nǐ) และตอบรับคำขอบคุณด้วยประโยค "不客气!"(bú kè qi,ไม่ต้องเกรงใจ)、"不用谢!" (bú yòng xiè)หรือ "不谢!" (bú xiè,ไม่ต้องขอบคุณ) เป็นต้น

2.贵姓

"贵姓"(guì xìng)มีความหมายตามตัวอักษรว่า "แซ่(นามสกุล)อันสูงค่า" ประโยคนี้เป็นประโยคสุภาพที่ใช้ในการถามแซ่(นามสกุล)ของคู่สนทนาในครั้งแรกที่พบกัน คำว่า "姓" ยังสามารถใช้โดยลำพังได้ โดยจะทำหน้าที่เป็นคำกริยา มีความหมายว่า "มีแซ่(นามสกุล) ว่า" หากผู้อาวุโสถามชื่อ-สกุลของผู้ที่อายุน้อยกว่า หรือคนหนุ่มสาวถามไถ่กันเอง ก็มักจะใช้ประโยคว่า "你叫什么名字?" (nǐ jiào shén me míng zi, คุณชื่ออะไร)

3.免贵姓……

"免"(miǎn) มีความหมายว่า "งด, ยกเว้น" ในที่นี้ "免贵姓……" (miǎn guì xìng)หมายถึง ไม่ต้องใช้คำว่า "贵姓"(guì xìng) เพราะฟังดูสุภาพหรือเกรงใจจนเกินไป สำนวนนี้เป็นสำนวนตอบรับประโยคคำถาม "您贵姓?" (nín guì xìng)ที่สุภาพ ส่วนการตอบคำถาม "您贵姓?" จะใช้ประโยคว่า "我姓……" (wǒ xìng, ฉันแซ่...)

4.什么?

"什么" (shén me) เป็นคำแสดงคำถามที่มีความหมายว่า "อะไร" รูปประโยคคำถามในภาษาจีนนั้นไม่ยาก เราสามารถเปลี่ยนประโยคบอกเล่าให้กลายเป็นประโยคคำถามได้ เพียงแต่ใช้คำแสดงคำถามวางแทนในตำแหน่งข้อมูลที่เราต้องการถาม โดยไม่ต้องเปลี่ยนตำแหน่งของคำในประโยค เช่น "我叫高强。"(wǒ jiào gāo qiáng) เมื่อเปลี่ยนเป็นประโยคคำถามจะกลายเป็น "你叫什么名字?"(nǐ jiào shén me míng zi)

5.请问?

"请问" (qǐng wèn)หมายถึง "ขอถามหน่อยนะคะ/ครับ" เป็นสำนวนสุภาพที่ใช้ก่อนจะสอบถามข้อมูลต่างๆ จากคู่สนทนา โดยเราจะพูดว่า "请问" ก่อนแล้วจึงตามด้วยคำถามที่ต้องการถาม

6.就可以了

"就可以了" (jiù kě yǐ le)ในบทเรียนนี้หมายถึง "ก็พอ/ได้แล้ว" "就"(jiù) มีความหมายว่า "ก็" ในสำนวนนี้มีความหมายในเชิงเน้นย้ำ "可以"(kě yǐ) หมายถึง "ได้" ส่วน "了"(le) ในสำนวนนี้เติมไว้ท้ายประโยคเพื่อเพิ่มน้ำเสียงในการยืนยัน "就"(jiù) และ "可以" เป็นคำที่มีหลายความหมาย ดังนั้นความหมายของคำจะขึ้นอยู่กับบริบทที่คำทั้งสองปรากฏ

เกร็ดวัฒนธรรม

ชื่อแซ่ของคนจีน

คนจีนมีแซ่หรือนามสกุลมากว่า 5,000 ปีแล้ว หนังสือ"ป่ายจยาซิ่ง" (ร้อยแซ่) ซึ่งแพร่หลายในสมัยโบราณเขียนขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ (ค.ศ. 960) หนังสือเล่มนี้รวบรวมแซ่พยางค์เดียวไว้ 408 แซ่ แซ่หลายพยางค์ 30 แซ่ รวมทั้งหมดเป็น 438 แซ่ ต่อมามีแซ่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งหมดประมาณ 4,000–6,000 แซ่ แต่แซ่ที่ใช้จริงนั้นมีเพียงประมาณ 1,000 แซ่

ชื่อ-สกุลของคนจีนแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ชื่อและแซ่ โดยจะเรียกแซ่นำหน้าแล้วตามด้วยชื่อ เวลาเขียนชื่อแซ่ด้วยสัทอักษรพินอินจะต้องเว้นวรรคระหว่างแซ่และชื่อ ตัวสะกดตัวแรกของแซ่และชื่อจะต้องเขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ แซ่ของคนจีนมี 2 แบบ ได้แก่ แซ่พยางค์เดียวและแซ่หลายพยางค์ โดยแซ่พยางค์เดียวมีมากกว่า ปัจจุบันแซ่พยางค์เดียวที่พบมากที่สุดได้แก่ แซ่หลี่ หวาง จาง หลิวและเฉิน ส่วนแซ่หลายพยางค์ซึ่งประกอบด้วยตัวอักษรสองตัวหรือสองตัวขึ้นไปนั้นมีน้อยมาก ที่พบมากที่สุดได้แก่ แซ่จูเก๋อ โอวหยาง ซือหม่า ตวนมู่ กงซุน เป็นต้น ตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว คนจีนจะถือแซ่ตามบิดา มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ถือแซ่ตามมารดา ผู้หญิงเมื่อแต่งงานแล้ว ก็ยังคงใช้แซ่เดิมของตน ไม่ต้องเปลี่ยนแซ่ตามสามี

ส่วนชื่อของคนจีนนั้นมีทั้งชื่อพยางค์เดียวและชื่อสองพยางค์ ตัวอักษรตัวที่สอง(หรือสาม)ในชื่อสามพยางค์ของคนจีนจำนวนมากมักเป็นตัวอักษรที่บ่งถึงรุ่นในตระกูล(กล่าวคือชื่อของคนในตระกูลที่เกิดรุ่นเดียวกัน จะใช้ตัวอักษรตัวที่สอง(หรือสาม)ของชื่อเป็นตัวเดียวกัน) หรือมีความหมายพิเศษอื่นๆ

การเรียกขาน

โดยทั่วไปคนจีนจะเรียกคู่สนทนาด้วยแซ่ แล้วตามด้วยคำเรียกขานหรือตำแหน่งของคนนั้นๆ การเรียกขานเช่นนี้ถือเป็นการให้เกียรติคู่สนทนา เช่น "张先生"(zhāng xiān sheng, คุณจาง)、"李小姐"(lǐ xiǎo jiě, คุณหลี่)、"陈经理" (chén jīng lǐ, ผู้จัดการเฉิน)、"孙校长"(sūn xiào zhǎng, อาจารย์ใหญ่ซุน) เป็นต้น "先生"(xiān sheng, คุณ) เป็นคำเรียกขานทั่วไปที่ใช้เรียกผู้ชาย นอกจากนี้ เรายังสามารถใช้คำว่า "先生" หรือ "老师"(lǎo shī, ครู, อาจารย์) เรียกผู้เชี่ยวชาญ ศาสตราจารย์และนักวิชาการอาวุโสหรือมีชื่อเสียงได้ทั้งชายและหญิง เมื่อผู้อาวุโสกว่าเรียกขานผู้มีอายุน้อยกว่าหรือคนรุ่นเดียวกันที่ค่อนข้างสนิทสนมเรียกขานกันเองในกลุ่มก็จะเรียกเฉพาะชื่อ ในการสนทนาทั่วไป เราจะใช้คำว่า "女士"(nǚ shì, คุณสุภาพสตรี) เรียกคู่สนทนาที่เป็นหญิงเพื่อเป็นการให้เกียรติ ส่วนการเรียกคู่สนทนาหญิงที่แต่งงานแล้วในการสนทนาที่เป็นทางการ เราจะใช้คำว่า "夫人"(fū ren, ภริยา) หากเป็นการสนทนาทั่วไปจะใช้คำว่า "太太" (tài tai, ภรรยา, คุณนาย) โดยจะต้องใส่แซ่สามีของคู่สนทนาหญิงไว้ข้างหน้าคำสองคำนี้ด้วย "小姐"(xiǎo jie, คุณ(ผู้หญิง))เป็นคำเรียกขานหญิงสาว "师傅"(shī fu, ช่าง) เป็นคำเรียกขานช่างฝีมือหรือผู้ที่มีอาชีพที่ต้องใช้ความสามารถเฉพาะทาง เช่น คนขับรถ ช่างซ่อม เป็นต้น ทั้งนี้คำเรียกขานที่เป็นคำสุภาพและง่ายที่สุดก็คือ "您"(nín, ท่าน)